dot dot
ลักษณะผู้บริหารที่ทำให้องค์กรล้มเหลว

      กิจกรรม วอล์คแรลลี่ Walk Rally   คือ กิจกรรมกลุ่มที่กระทำควบคู่ไปกับการประชุมเชิงวิชาการเพื่อพัฒนาบุคคลากรและองค์กร ให้เหมาะสมกับบุคลากร วัฒนธรรมองค์กร และ สภาพเศรษฐกิจสังคม ในภาวะการแข่งขันอย่างสูงในเชิงธุรกิจ ในยุคปัจจุบัน โดยเน้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอาศัย ทักษะ และ ศักยภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน  มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน หรือการสร้างผลงาน ให้เป็นที่ต้องการและยอมรับของตลาดหรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ดียิ่งๆขึ้น ซึ่งจะสร้างประโยชน์ต่อองค์กรทำให้พนักงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น   ลักษณะของกิจกรรม วอล์คแรลี่ Walk Rally  แบ่งกว้างๆได้ 2 ลักษณะ คือ แบบกึ่งวิชาการ และ แบบสันทนาการ ทั้งสองแบบ จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีการสื่อสารสองทาง มีมุมมองและวิสัยทัศน์ที่แตกต่างออกไป และ ผสมผสานความ สนุกสนาน ตื่นเต้น ท้าทาย ความสามัคคี และ มนุษยสัมพันธ์ ด้วยกิจกรรมทดสอบทักษะ ไหวพริบ และสมรรถภาพทางร่างกายเข้าไว้ด้วยกัน

     ในการกำหนดหลักสูตรหรือหัวข้อการจัดกิจกรรม นั้น โดยทั่วไป ผู้บริหารขององค์กรนั้นๆ จะทราบถึงปัญหาในการทำงานของบุคลากรภายในองค์กรดีอยู่แล้ว โดยมักจะกำหนดหัวข้อหรือความต้องการในการแก้ไขปัญหาหรือต้องการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้นกว่าเดิม โดยจะขอนำบทความหรือหลักการและเหตุผลของหลักสูตรสัมมนาหรือกิจกรรมวอล์คแรลลี่ ของอาจารย์วิทยากรที่ชำนาญหลักสูตรดังกล่าว  นำเสนอเพื่อการกำหนดเพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดทิศทางการจัดประชุมสัมมนาเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ดังต่อไปนี้

 

   
ลักษณะผู้บริหารที่ทำให้องค์กรล้มเหลว
   
โดย    อาจารย์เอนกลาภ สุทธินันท์
   
เข้าชม ผลงาน ประวัติ อาจารย์วิทยากร
อาจารย์เอนกลาภ  สุทธินันท์
   
   
   
        ในโลกธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันกันสูงมาก  อนาคตขององค์กรต่างๆทางธุรกิจยากที่จะคาดคะเนได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้  อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกองค์กรมีผลกระทบกับองค์กรสูงกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมภายใน  จนทุกวันนี้การวิเคราะห์ S.W.O.T  ANALYSIS  ก็จำเป็นต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ตัว  Oคือ OPPORTUNITY หรือโอกาสและตัว T คือ THREAT หรือภาวะคุกคามหรือภัยอุปสรรค ก่อน เพราะเป็นปัจจัยที่มาจากภายนอกองค์กรซึ่งมีผลกระทบแรงและเร็ว เช่น การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐ  ราคาน้ำมันในตลาดโลก  การเคลื่อนย้ายเงินทุนของเฮดจ์ฟันต่างๆ   ภาวะสงครามในตะวันออกกลาง  เป็นต้น  ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องวิเคราะห์ตัว S คือ STRENGTH คือจุดแข็งขององค์กรและตัว W คือ WEAKNESS หรือจุดอ่อนขององค์กร ซึ่งเป็นเรื่องภายในองค์กร   สิ่งต่างๆเหล่านี้ย่อมท้าทายความสามารถของผู้บริหารในองค์กรต่างๆอย่างมากที่จะต้องรู้ว่าขณะนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรและควรปรับตัวอย่างไรโดยต้องศึกษาข้อมูลข่าวสารทั้งภายนอกและภายในองค์กร  ต้องจับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจให้ถูกต้อง   องค์กรที่จะอยู่รอดได้ในอนาคตข้างหน้าไม่จำเป็นต้องเป็นองค์กรใหญ่  มีชื่อเสียงมาก  มีพนักงานมาก  หรือมีสินทรัพย์สูงมาก  แต่ต้องเป็นองค์กรที่อ่านทิศทางการเปลี่ยนแปลงให้ออกและสามารถปรับตัวเองให้สอดคล้องกับทิศทางของการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้
     จากประสบการณ์ที่ผมเคยทำงานเป็นผู้บริหารอยู่ในภาคธุรกิจและเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการในภาคธุรกิจทั้งขนาดเล็ก  ขนาดกลางและขนาดใหญ่   รวมทั้งเป็นวิทยากรบรรยายให้ผู้บริหารในองค์กรต่างๆทั้งในภาคธุรกิจ  ราชการและรัฐวิสาหกิจฟังเกี่ยวกับหลักการบริหารงาน   การบริหารคน  ทำให้ผมพบว่าในองค์กรธุรกิจแบบไทยๆในขณะนี้หลายองค์กร  มีผู้บริหารเป็นจำนวนมากยังมีสไตล์การทำงานที่ไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและมีโอกาสที่จะทำให้องค์กรที่ตนเองบริหารงานอยู่ล้มเหลวได้   ผมจึงขอนำเสนอลักษณะหลายๆประการที่ผมรวบรวมขึ้นจากประสบการณ์มานำเสนอกับท่านผู้อ่านว่าลักษณะของผู้บริหารที่จะทำให้องค์กรล้มเหลวคือต้องล้มเลิกไป  ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้นั้น  มีลักษณะอะไรบ้าง  เพื่อให้ท่านผู้บริหารและคนที่กำลังจะขึ้นมาเป็นผู้บริหารได้ศึกษาและพยายามหลีกเลี่ยงอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างแต่ให้ปฏิบัติในทางตรงกันข้ามกับลักษณะที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้  ทั้งนี้เพื่อให้องค์กรที่ท่านบริหารอยู่สามารถอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน   ลักษณะของผู้บริหารที่จะทำให้องค์กรล้มเหลวนั้นมีลักษณะดังนี้คือ
   
1.   ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานประจำวัน
      มากกว่าการคิดถึงแผนกลยุทธ์หรือการบริหารกลยุทธ์ของหน่วยงาน
 

         มีผู้บริหารเป็นจำนวนมากในองค์กรธุรกิจแบบไทยๆที่ไม่สามารถจัดสรรเวลาในการทำงานอย่างถูกต้องคือมักจะเคยชินกับการสั่งงาน  มอบหมายงาน  ควบคุมงาน  แก้ปัญหาเฉพาะหน้าประจำวันของงานและชอบทำงานในเรื่องที่ตนเองชอบทำมากกว่าการใช้เวลาในการศึกษาข้อมูล  ข่าวสารทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กรเพื่อกำหนดทิศทางของหน่วยงานว่า ในแต่ละปีหรือแต่ละเดือนหรือแต่ละสัปดาห์หน่วยงานของตนเองหรือองค์กรของตนควรทำเรื่องอะไรและทำอย่างไร  ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง   บริหารการเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลงานในทิศทางที่ควรจะเป็น 

ตัวอย่างเช่น
ผมเคยไปบรรยายให้องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเป็นโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งมีผู้จัดการแผนกซึ่งเป็นผู้บริหารระดับกลางมาฟังเป็นจำนวนมาก  ผมได้ถามคำถามผู้บริหารเหล่านั้นว่า

ในฐานะที่ท่านเป็นผู้จัดการแผนกนี้และทำงานนี้มานานหลายปีแล้ว  ท่านพอจะบอกผมได้ไหมครับว่าในปีหน้า  แผนกของท่านควรจะทำงานเรื่องอะไรจึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์และเพราะอะไรจึงควรทำงานเรื่องนั้น"

คำตอบที่ทำให้ผมประหลาดใจมากคือผู้จัดการแผนกหลายคนตอบว่า

ยังไม่ทราบเพราะผู้ใหญ่ยังไม่ได้สั่งการลงมาว่าปีหน้าจะให้หน่วยงานนี้ทำเรื่องอะไร

ผมก็ย้อนถามกลับไปว่า “คุณทำงานอยู่กับข้อมูลทุกวัน  คุณเห็นปัญหาทุกวัน  ทำไมคุณไม่เสนอผู้ใหญ่ละครับว่าในฐานะที่คุณทำงานอยู่ตรงนี้  คุณเห็นว่าควรทำเรื่องอะไรก่อนหลัง  เพราะอะไร  ทำไมคุณไม่นำเสนอผู้ใหญ่   ผู้ใหญ่จะมาทราบข้อมูลในรายละเอียดได้ดีกว่าคุณได้อย่างไรในเมื่อผู้ใหญ่ไม่ได้มานั่งทำงานตรงนี้” 

ฉะนั้นเราจึงควรเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์  ดำเนินกลยุทธ์  ประเมินและติดตามผลกลยุทธ์ต่างๆได้

   
2.   ขาดทักษะในการสื่อสาร
      คือ ทักษะการพูดจูงใจ  การฟัง  การอ่าน  การตีความข้อมูลข่าวสารและการเขียน
         ผู้บริหารในองค์กรธุรกิจแบบไทยๆส่วนใหญ่จะขาดโอกาสที่จะได้รับการฝึกฝนเรื่องทักษะการสื่อสารอย่างครบถ้วน  แต่ทักษะการสื่อสารเป็นทักษะที่สำคัญ  ปัจจุบันนี้ทักษะการสื่อสารถือเป็นสมรรถนะที่สำคัญข้อหนึ่งที่เป็นดัชนีชี้วัด(KPI)ว่าผู้บริหารท่านนั้นจะสามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้บริหารในระดับที่สูงกว่าเดิมได้หรือไม่   ผู้บริหารสไตล์แบบไทยๆส่วนใหญ่(ไม่ใช่ทุกคน)  มักจะถนัดการดุด่าลูกน้องหรือการพูดแบบทำร้ายจิตใจลูกน้องมากกว่าการพูดเพื่อบำรุงรักษาขวัญกำลังใจลูกน้อง  เช่น  การแจ้งผลการปฏิบัติงานของลูกน้องประจำปี  เมื่อหัวหน้าแจ้งผลงานลูกน้องเสร็จแล้ว  ลูกน้องหลายคนหมดกำลังใจในการทำงานเพราะรู้สึกว่าตนเองหมดคุณค่าต่อองค์กรนี้   หัวหน้าไม่เคยมองเห็นความดีของตนเอง  เห็นแต่ความผิดพลาดทำให้หมดกำลังใจทำงานและถ้าหนักกว่านั้นคือ มาขอลาออกจากงานไปทำงานที่อื่น  ตรงนี้ทำให้เกิดความสูญเสียพนักงานที่ดีๆในองค์กรไปให้คู่แข่งจำนวนมาก   เรื่องของการฟังก็เป็นปัญหามากคือหัวหน้างานเป็นจำนวนมากชอบพูดมากกว่าชอบฟัง  และไม่ตั้งใจฟังปัญหาของลูกน้อง  หรือฟังไม่ยังจบก็ด่วนสรุปและสั่งให้ลูกน้องแก้ไขปัญหาตามความคิดเห็นของตนทำให้เกิดช่องว่างของความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง  เรื่องของการฟังเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนเหมือนทักษะการพูด  ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเพราะทักษะเหล่านี้จะเกิดจากการฝึกเท่านั้น  ผู้บริหารที่มีอายุมากขึ้นจะไม่มีพัฒนาการเรื่องการฟังได้เองถ้าหากว่าไม่ได้รับการฝึกฝนที่ถูกวิธีและในแง่การสื่อสารที่ดีนั้นหัวหน้างานควรฟังมากกว่าพูด
      เรื่องการอ่านและการตีความข้อมูลข่าวสารก็เป็นเรื่องใหญ่ในแง่การสื่อสารเช่นกัน  ท่านเคยพบไหมครับว่าหัวหน้างานหลายคนฟังผู้บริหารพูดพร้อมๆกันหรืออ่านประกาศ  อ่านคำสั่งหรืออ่านนโยบายเรื่องเดียวกัน  มีตัวอักษรเหมือนกันทุกอย่างแต่แปลความหมายแตกต่างกัน  เข้าใจไม่ตรงกันทำให้ปฏิบัติไปคนละทิศทาง  ปฏิบัติในเรื่องเดียวกันไม่เหมือนกัน ซึ่งส่วนหนึ่งที่เป็นแบบนี้อาจจะมาจากผู้สื่อสารสื่อสารไม่ดีก็ได้แต่อีกทางหนึ่งอาจจะมาจากการอ่านจับใจความที่ไม่ถูกต้องและวิธีคิดในการตีความหมายของข้อมูลที่ไม่เหมือนกันก็ได้   หลักการตีความข้อมูลเป็นเรื่องที่หัวหน้างานต้องฝึกไว้  ที่สำคัญคืออย่าตีความโดยอาศัยประสบการณ์ตนเองหรือเปรียบเทียบกับประสบการณ์ตนเองเท่านั้นแต่ต้องดูว่ามีหลักฐานหรือข้อมูลที่ระบุชัดเช่นนั้นหรือไม่   สุดท้ายคือเรื่องการเขียน  การเขียนเป็นเรื่องใหญ่เพราะคนไทยไม่ชอบการเขียนเพราะการเขียนที่ดีต้องใช้หลักภาษา   สำนวน  คำพูดให้เหมาะสมและการเขียนมีลักษณะของการสื่อสารทางเดียวสูงเพราะผู้อ่านไม่ได้อยู่ต่อหน้าเราจึงไม่รู้ว่าผู้อ่านจะคิดอย่างไรทำให้ง่ายต่อการตีความผิดได้  

    เช่น มีหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของโรงงานแห่งหนึ่งเขียนจดหมายรายงานผู้จัดการโรงงานเรื่องที่เกิดเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้าเมื่อคืนที่ผ่านไปว่า

    “จากการสอบถามพนักงานทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุในคืนที่ไฟไหม้โกดังเก็บสินค้า  ปรากฏผลเป็นที่น่ายินดีว่าพนักงานส่วนใหญ่ให้ข้อมูลตรงกันว่าไฟเริ่มไหม้เมื่อเวลาประมาณตี 3 เศษๆ  จากห้องเก็บพัสดุที่ 2 หรือ 3 ซึ่งเก็บพวกกระดาษแข็งและผ้า น่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร แต่ก็พบว่าพนักงานบางคนพกพาบุหรี่และไฟแช็คติดตัวมาด้วย ทุกคนช่วยกันดับไฟอย่างเต็มที่โดยใช้เครื่องดับเพลิงจนสามารถดับไฟได้ตอนตี 4 โกดังถูกไฟไหม้ไปครึ่งหนึ่ง”

   ท่านผู้บริหารที่อ่านข้อความนี้แล้วคงจะเกิดคำถามมากมายว่าจะเป็นที่น่ายินดีได้อย่างไรในเมือเกิดไฟไหม้แต่พนักงานคนเขียนต้องการสื่อว่าน่ายินดีตรงที่ไฟไหม้เพียงครึ่งเดียวไม่ได้ไหม้ทั้งหมด  และที่สันนิษฐานว่าสาเหตุเพลิงไหม้เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรนั้นมีเหตุผลอะไรที่ทำให้สันนิษฐานเช่นนั้นและข้อความก็ขัดกันเองตรงที่ว่ามีพนักงานบางคนพกพาบุหรี่และไฟแช็คติดตัวมาด้วย ทำให้คนอ่านไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้นั้นเกิดจากคนหรือไฟฟ้าลัดวงจรกันแน่  และการเขียนที่บอกว่าเกิดจากโกดัง 2 หรือ 3 ก็ไม่ชัดเจนว่าเกิดจากโกดังไหนก่อน   คนเขียนไม่ได้รายงานว่ามีพนักงานคนไหนได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายหรือไม่เขียนรายงานแต่เรื่องของที่ถูกไฟไหม้แต่ไม่รายงานเรื่องคน  ตลอดจนไม่รายงานเรื่องวัน เวลาที่แน่นอนด้วย การเขียนจึงเป็นทักษะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผุ้บริหารหรือหัวหน้างานควรฝึกฝนให้ชำนาญและถูกวิธี
   
3.   ขาดทักษะในการทำงานเป็นทีม
       มีคำกล่าวว่า คนไทยนั้นถ้าให้ทำงานแบบที่ทำคนเดียวแล้วจะไม่แพ้ชาติไหน แต่ถ้าให้ทำงานแบบเป็นทีมแล้วมักจะสู้ชาติอื่นไม่ได้   ถ้าคำกล่าวนี้เป็นจริงแปลว่าเราขาดทักษะในการทำงานเป็นทีมอย่างมาก  ทำไมเป็นเช่นนั้น  ผมคิดว่าทักษะการทำงานเป็นทีมที่สำคัญนั้นต้องเริ่มจากทุกคนในทีมต้องมีจุดมุ่งหมายเดียวกันและทุมเทให้งานสำเร็จตามเป้าหมายอย่างสุดความสามารถ  เมื่อเกิดปัญหาในการทำงานต้องถือเป็นความรับผิดชอบของทุกคนในทีมและต้องให้ทุกคนในทีมมีส่วนช่วยกันคิดหาสาเหตุและกำหนดแนวทางแก้ไขร่วมกัน   เปิดโอกาสให้ทุกคนในทีมมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นในการทำงาน ในการปรับปรุงหรือหาวิธีการทำงานที่ดีขึ้น  ควรมีการสื่อสารในทีมแบบสองทางคือเปิดโอกาสให้ซักถามได้ถ้าไม่เข้าใจหรือสงสัย   และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือทุกคนต้องเรียนรู้งานของคนอื่นๆในทีมด้วยว่าเขามีขั้นตอนการทำงานอย่างไร  เวลาเกิดปัญหาในการทำงานควรหันหน้ามาปรึกษากันว่าอะไรคือสาเหตุของปัญหาและจะป้องกันอย่างไร  แก้ไขอย่างไรให้มากกว่าการตำหนิว่าใครเป็นคนทำผิด
   
4.   มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง  มีอัตตาสูง
         เป็นที่น่าเสียดายว่า ระบบการศึกษาในเมืองไทยเราแต่ก่อนนั้น เน้นสร้างคนให้เป็นคนเก่งมากกว่าเน้นสร้างคนให้เป็นคนดี   คนเก่งหมายถึง สอบได้ที่หนึ่งของห้อง  ได้เหรียญทอง  เรียนจบมาได้ปริญญาหลายใบ  ได้เกียรตินิยม  จะเป็นที่ยอมรับของพ่อแม่และเพื่อนฝูง   ค่านิยมแบบนี้ทำให้คนเก่งหลายคนมีโลกทัศน์ว่าตนเองเก่งกว่าคนอื่นมาตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็ก  และมองคนอื่นว่าด้อยกว่าตนเอง  ตนเองอยู่ในระดับที่สูงกว่าคนอื่น  เวลาที่ตนเองพูดอะไร  หรือทำอะไร  คนอื่นๆควรฟังและทำตาม  ไม่ควรเถียงหรือแย้งเพราะตนเองประสบความสำเร็จในทุกเรื่อง  โลกทัศน์แบบนี้ทำให้ขาดการรับฟังเพื่อนร่วมงาน  คิดว่าตนเองรู้ในทุกเรื่องดีกว่าคนอื่นและไม่เปิดใจกว้างให้คนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของตนเองวิจารณ์ตนเองได้  ทำให้เกิดปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่น  คนเก่งๆหลายคนไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้เพราะความคิดเช่นนี้ ถ้าหากไปเจอลูกน้องหรือคนใกล้ชิดที่หวังจะประจบประแจงเพื่อเอาดีใส่ตัวเองด้วยแล้วยิ่งทำให้ผู้บริหารแบบนี้หลงทิศทางไปกันใหญ่เพราะผู้ใกล้ชิดจะให้ความเห็นว่า “ดีแล้วครับท่าน  ถูกต้องแล้วครับ  ดีทุกอย่างครับ” ผู้บริหารที่ดีควรมีความเฉลียวใจไม่รับฟังข้อมูลด้านเดียวควรคิดแบบหลายๆด้านและไม่ควรเชื่อคนที่ให้ข้อมูลด้านเดียวโดยเฉพาะคนใกล้ชิด  เพราะในโลกความเป็นจริงไม่มีใครที่ทำงานอะไรโดยไม่ผิดพลาดหรือสมบูรณ์แบบ  ผู้บริหารที่ดีควรพยายามค้นหาข้อผิดพลาดของตนและนำมาปรับปรุงแก้ไข ดีกว่าการที่ชื่นชอบในคำชมเชยของคนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คน
   
5.   ตัดสินใจจากสัญชาติญาณมากกว่าข้อมูล
       ผู้บริหารระดับสูงและระดับกลางหลายคนเวลาจะตัดสินใจเรื่องสำคัญๆต่างๆนั้น จะอาศัยประสบการณ์ตนเองเป็นหลัก  ตัดสินใจจากความเชื่อและทัศนะของตนเอง  เพราะที่ผ่านมาตนเองตัดสินใจได้ถูกยังไม่เคยผิด   การคิดเช่นนี้อันตรายมากต่อการทำธุรกิจเพราะจะขาดการปรึกษาผู้อื่นที่เกี่ยวข้องและขาดการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง   ยุคสมัยเปลี่ยนไป  บริบทของสังคม  เงื่อนไขต่างๆในการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไป   เราอาจะเป็นคนที่เก่งที่สุด  ตัดสินใจไม่เคยผิดพลาดในอดีตหรือพลาดน้อยมากแต่อย่าลืมว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว  เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว  วิธีคิดในอดีต  ข้อมูลที่เรามีอยู่อาจจะไม่เหมาะกับสมัยนี้ อาจจะไม่สอดคล้องกับความจริงในสมัยนี้ บางอย่างอาจจะยังใช้ได้แต่หลายๆอย่างอาจจะเปลี่ยนไป  การตัดสินใจของผู้บริหารสมัยใหม่ควรอาศัยข้อมูลเป็นหลักและปรึกษา  ขอความคิดเห็นร่วมกันจากทีมงานที่เกี่ยวข้องทุกคน  ควรคิดเป็นทีมและตัดสินใจเป็นทีมจะเหมาะสมกว่า  เช่น สมมติว่าเราต้องการขยายกำลังการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพราะยอดขายใน 3 ปี ที่ผ่านมามียอดขายสูงขึ้นเรื่อยๆ  ท่านคิดว่าน่าจะมียอดขายสูงขึ้นไปเรื่อยๆอีกในอนาคต  อยากจะซื้อเครื่องจักรเพิ่มหรือพัฒนาคุณภาพเครื่องจักรให้ทันสมัยกว่าเดิมจะได้ผลิตสินค้ามากขึ้นได้  ความจริงท่านอาจจะตัดสินใจเองได้เพราะท่านเป็นเจ้าของธุรกิจ  มีอำนาจอยู่แล้ว  แต่ถ้าจะให้รอบคอบขึ้นท่านควรศึกษาข้อมูลว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้สินค้าของท่านขายได้ดีใน 3 ปีที่ผ่านมา  ท่านอาจจะพบว่าจริงๆแล้วเป็นเพราะว่ามีคู่แข่งบางรายที่ผลิตสินค้าอย่างเดียวกับท่านปิดกิจการลงหรือประสบปัญหาบางอย่างที่ทำให้เขาผลิตสินค้าน้อยลง  ในขณะที่กำลังความต้องการของตลาดขณะนั้นเพิ่มขึ้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สินค้าของท่านขายดีใน 3 ปีที่ผ่านมา  ลูกค้าไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องมาซื้อกับท่านแต่ถ้าท่านจะขยายกำลังการผลิตในปีนี้หรือปีหน้า  สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปเพราะเกิดมีคู่แข่งรายใหม่ในตลาดเพิ่มขึ้นหลายรายทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มและความต้องการในตลาดลดลง  ฉะนั้นถ้าผลิตเพิ่มอีกกำลังการผลิตจะเกินกว่าความต้องการของตลาด  ทำให้ท่านอาจจะต้องลดราคาสินค้าลงเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งใหม่ๆและทำให้บริษัทของท่านมีรายได้ลดลง  ถ้าหากท่านท่านรับฟังข้อมูลจากทีมงานของท่านอย่างรอบด้านท่านจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นมากกว่าการตัดสินใจโดยลำพังคนเดียว
   
6.   ไม่สนใจรายละเอียดของขั้นตอนและเนื้อหาของงาน
      มีผู้บริหารเป็นจำนวนมากในหลายองค์กร รู้ว่าเขาต้องการผลลัพธ์อะไรจากการสั่งงานและมอบหมายงานในแต่ละเรื่องให้ลูกน้องและมักจะกำชับกับลูกน้องว่าต้องทำงานให้ได้ตามผลลัพธ์หรือเป้าหมายที่ตนเองต้องการ  ภายในเวลาที่กำหนด  แต่คนสั่งงานหรือมอบหมายงานไม่สนใจเลยว่าลูกน้องจะไปทำวิธีไหนเพื่อให้ได้ผลงานตามที่หัวหน้าต้องการ  หัวหน้ากำหนดแต่ผลลัพธ์ที่ต้องการแต่หัวหน้าไม่ได้เป็นคนลงมือไปทำ แบบนี้เป็นอันตรายมาก เพราะหัวหน้าหรือคนสั่งจะไม่ทราบขั้นตอนของการทำงานของลูกน้อง  ปัญหาที่ลูกน้องพบในขณะปฏิบัติงาน   จึงไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้ลูกน้องได้และอาจถูกลูกน้องหลอกได้  โดยเสนอข้อมูลที่ผิดๆรายงานให้ทราบ  หัวหน้าที่ไม่รู้ข้อมูลและขั้นตอนการปฏิบัติงานของลูกน้องก็อาจจะเชื่อข้อมูลที่ลูกน้องรายงาน  ฉะนั้นผู้บริหารที่ดีต้องศึกษาขั้นตอนการทำงานทั้งหมดที่ลูกน้องทำผลงานมาส่งตนว่าเขามีขั้นตอนการทำงานอย่างไร  มีปัญหาอะไรบ้าง  เราจะช่วยเขาได้อย่างไร  ผมไม่ได้บอกว่าให้ท่านผู้บริหารต้องลงไปล้วงลูกทุกเรื่องอย่างละเอียดนะครับ  แต่ผมกำลังบอกว่าให้ท่านสนใจศึกษาขั้นตอนการทำงานต่างๆในงานทุกงานที่ท่านสั่งให้ลูกน้องทำและศึกษาข้อจำกัดหรือปัญหาต่างๆที่ลูกน้องพบในการทำงานเพื่อการระดมความคิดหาทางป้องกันและแก้ไขปัญหาร่วมกันต่างหาก
   
7.   ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้
        ข้อนี้ผู้บริหารแบบไทยๆเป็นกันมากโดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงและเจ้าของกิจการ(ไม่ใช่ทุกคน)  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  ผมคิดว่าเป็นเพราะว่าผู้บริหารระดับสูงและเจ้าของกิจการเป็นบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงมากในองค์กรจนไม่มีใครกล้าพอที่จะไปวิพากษ์ท่านเหล่านั้นได้เพราะกลัวจะถูกทำโทษ  ความจริงแล้วผู้บริหารเหล่านี้เป็นคนที่น่าสงสารมากเพราะเวลาทำอะไรผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม  พวกเขาจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำเรื่องที่ไม่เหมาะสม  เป็นคนที่มองไม่เห็นตนเองคือไม่รู้ว่าภาพลักษณ์ของตนเองในสายตาคนอื่นเป็นอย่างไร   เวลาเกิดความไม่พอใจในเรื่องใดก็จะแสดงอารมณ์โกรธออกมาให้คนอื่นหรือลูกน้องรู้เช่น ด่าลูกน้องด้วยคำที่ไม่สุภาพ  สีหน้าแดง  มือสั่น  กำมือแน่นเหมือนจะชกกับใครสักคน  พูดจาเสียงดังมากกว่าปกติ  สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณที่ส่งมาให้คนอื่นเห็นว่ากำลังโกรธแล้วนะ   เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าจะไม่พอใจนะอย่าทำแบบนั้นอีกนะ   ถ้าเป็นแบบนี้ก็แสดงว่าเขากำลังแสดงพฤติกรรมไปตามอารมณ์  อารมณ์กำลังควบคุมพฤติกรรมของเขา  เขาควบคุมตนเองไม่ได้แต่เขาถูกอารมณ์ควบคุม     การเป็นนักบริหารที่ดีไม่ได้แปลว่าคนคนนั้นไม่ต้องมีความโกรธแต่คนที่เป็นนักบริหารที่ดีจะแตกต่างกับนักบริหารทั่วไปตรงที่เมื่อเขามีความโกรธแล้วเขาสามารถควบคุมความโกรธนั้นได้โดยไม่แสดงออกมาให้คนอื่นรู้แต่ในขณะที่กำลังโกรธอยู่นั้นเขายังสามารถเลือกใช้พฤติกรรมที่ดีแสดงออกกับคนที่เขากำลังโกรธต่างหาก  ท่านจะทำเช่นนี้ได้ต้องมาจากการฝึกฝนไม่ใช่ปล่อยให้อายุมากขึ้นแล้วมันจะทำได้เองการฝึกฝนที่ว่านี้คือการฝึกสติให้รู้เท่าทันในอารมณ์ตนเองและในขณะที่กำลังโกรธให้คิดพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนว่าถ้าหากแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกไปผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร   เราควรเลือกใช้พฤติกรรมที่เหมาะสมแสดงออกต่อผู้อื่นแม้ว่าเราจะกำลังโกรธก็ตาม  ถ้าหากเราฝึกสติและคิดพิจารณาเลือกใช้พฤติกรรมตนเองได้อย่างเหมาะสมบ่อยๆ  ต่อไปอารมณ์จะไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของคุณได้แต่ตัวคุณต่างหากที่จะเป็นผู้กำหนดพฤติกรรมตนเองไม่ใช่อารมณ์
   
ความจริงแล้วยังมีลักษณะของผู้บริหารที่ทำให้องค์กรล้มเหลวอีกหลายข้อที่ผมยังไม่ได้เขียนในบทความนี้เพราะบทความนี้มีเนื้อที่ให้ผมจำกัด  แต่ถ้าท่านสนใจต้องการทราบข้อมูลมากกว่านี้กรุณาเข้าไปดูได้ที่ www.aneklarp.com
   
   
  อาจารย์เอนกลาภ สุทธินันท์
     

 




หลักสูตรการจัดกิจกรรมวอล์คแรลลี่






Booking.com